รัรั√—ฐฐ∞ศาสตร์
าร
»“ µ√åสส“√
ศาสตร์
าร
ปีªïปีท∑ที่ ’Ë 37
หาคม2555)
2559)
©∫—
(°—
¬“¬π-∏—นπงวาคม
«“§¡
2554)
ี่ 32
33ฉบั
ฉบับ∫บที∑’ที่ Ë 2่ 3(พฤษภาคม-สิ
(กันπยายน-ธั
ISSN0125-135
0125-135XX
ISSN
√—∞»“ µ√å “√ ‡ªìπ«“√ “√∑“ß«‘™“°“√ ¡’«—µ∂ÿª√– ߧ出¬·æ√৫“¡√Ÿâ·≈–§«“¡§‘¥‡ÀÁπ
∑’ˇªìπª√–‚¬™πå „π∑“ß«‘™“°“√„π·¢πß«‘™“√—∞»“ µ√å µ≈Õ¥®π “¢“Õ◊πË Ê ∑’ˇ°’ˬ«¢âÕß
à߇ √‘¡„ÀâÕ“®“√¬å·≈–π—°«‘™“°“√„À⇠πÕº≈ß“π∑“ß«‘™“°“√ ·≈–‡æ◊ËÕ„À⇪ìπ‡Õ° “√
ª√–°Õ∫°“√»÷°…“„π√–¥—∫Õÿ¥¡»÷°…“
∑—»π–·≈–¢âÕ§‘¥‡ÀÁπ„π«“√ “√©∫—∫π’ȇªìπ¢ÕߺŸâ‡¢’¬π·µà≈–∑à“π ‰¡à∂◊Õ‡ªìπ∑—»π–·≈–
§«“¡√—∫º‘¥™Õ∫·µàÕ¬à“ß„¥¢Õߧ≥–√—∞»“ µ√å ¡À“«‘∑¬“≈—¬∏√√¡»“ µ√å ºŸâª√– ߧå
®–¢Õπ”¢âÕ§«“¡„¥®“°«“√ “√©∫—∫π’ȉª‡º¬·æ√à ®–µâÕ߉¥â√—∫Õπÿ≠“µ®“°ºŸâ‡¢’¬π·≈–
∫√√≥“∏‘°“√µ“¡°ÆÀ¡“¬«à“¥â«¬≈‘¢ ‘∑∏‘χ ’¬°àÕπ
√—∞»“ µ√å “√ ¬‘π¥’√—∫æ‘®“√≥“∫∑§«“¡ ‚¥¬µâÕß àßµâπ©∫—∫∫∑§«“¡®”π«π 3 ™ÿ¥
·≈–·ºà𥑠‡°Áµ®”π«π 1 ·ºàπ ‡æ◊ËÕ„ÀâºâŸ∑√ߧÿ≥«ÿ≤‘ „π “¢“∑’ˇ°’ˬ«¢âÕßæ‘®“√≥“
æ√âÕ¡°—∫∑’ËÕ¬Ÿà ·≈–‡∫Õ√å‚∑√»—æ∑å¢ÕߺŸâ‡¢’¬π ‡æ◊ËÕ°“√µ‘¥µàÕ°≈—∫
¡—§ค√รสมาชิ
¡“™‘°กÀ√◊
µ√å ส“√
สมั
หรืÕอสั—Ëß่ง´◊ซืÈÕ้อ √—รั∞ฐ»“
ศาสตร์
าร ‰¥â
ได้∑ท’Ë ี่::-“∑‘พæย์¬åจาตุ
®“µÿร√นตกุ
πµ°ÿล≈
คุ§ÿณ≥จุ®ÿฑ±าทิ
ส�า”π—
นัก°งานรั
ß“π√—ฐ∞ศาสตร์
»“ µ√åสาร
“√ ชั™—้นÈπ 26 คณะรั
§≥–√—ฐ∞ศาสตร์
»“ µ√åมหาวิ
¡À“«‘ท∑ยาลั
¬“≈—ย¬ธรรมศาสตร์
∏√√¡»“ µ√å
เลขที
‡≈¢∑’่ Ë22ถนนพระจั
∂ππæ√–®—นπทร์∑√åเขตพระนคร
‡¢µæ√–π§√กรุ°√ÿงเทพฯ
߇∑æœ10200
10200
- โทรศั
พ
ท์
0
2613
2335
(ท่
า
พระจั
น
ทร์
)
‚∑√»—æ∑å 0-2613-2334-5 (∑à“æ√–®—π∑√å)
2696 5307 (ศูน(»Ÿ
ย์รπังสิ¬åต√—ß) ‘µ)
- โทรศั
‚∑√»—พæท์∑å 00-2696-5307
®—¥®”Àπà“¬‚¥¬ ∫√‘…—∑ ‡§≈Á¥‰∑¬ ®”°—¥
จัดจำาหน่ายโดย บริ
ษทั æเคล็
ดไทย จ�ากัด
‚∑√»—
∑å 0-2225-9535-40
โทรศัพท์ 0 2225 9535-40
พิæ‘ม¡æåพ์∑ท’Ë ี่:
‚√ßæ‘ม¡พ์æåม¡หาวิ
À“«‘ท∑ยาลั
¬“≈—ย¬ธรรมศาสตร์
∏√√¡»“ µ√å, พ.ศ.
æ.». 2559
2555
โรงพิ
‚∑√»—พæท์∑å 00-2564-3105
0-2564-3119
โทรศั
2564 3104 ∂÷ถึßง 6,11 0‚∑√
2564“√3108
ถึง 10
http://www.tu.ac.th/org/tuprint
โทรสาร
0 2564 3119
http://www.tu.ac.th/org/tuprint
รัฐศาสตร์สาร ฉบับ 37/2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2559)
สารบัญ
บทบรรณาธิการ ................................................................................. (7)
จิ้มก้องขอหองโอรสสวรรค์:
สมเด็จพระเจ้าตากสินกับจีนราชวงศ์ชิง ...............................................1
เจมส์ เค. ชิน (เฉียนเจียง) เขียน
อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล
วงไพบูลย์แห่งลูกเสือและกาชาดไทย
การก่อตัวของพลังการเมืองคุณธรรมในทศวรรษ 2500 .....................24
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
Franco ‘Bifo’ Berardi กับทฤษฎีว่าด้วยการแตกกระจาย
ของเวลา ความป่วยทางจิตในระบบทุนนิยมสัญญะ
และการปลดปล่อยแบบจิตเภท .........................................................76
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
วิจารณ์หนังสือ ‘บทส�ำรวจควำมคิดทำงปรัชญำกำรเมือง
ของ ลีโอ สเตรำส์’ ของ อรรถสิทธิ์ สิทธิดำารง .................................117
พิพัฒน์ พสุธารชาติ
การศึกษาเพื่อความเป็นไท (Liberal Education)
และการปกป้องประชาธิปไตยของ ลีโอ สเตราส์:
ตอบข้อวิจำรณ์ของ พิพัฒน์ พสุธำรชำติ .........................................159
อรรถสิทธิ์ สิทธิด�ารง
การศึกษาเพื่อความเป็นไท/แบบเสรี (Liberal Education)
ของ ลีโอ สเตราส์: ตอบ อรรถสิทธิ์ สิทธิด�ำรง ...............................193
พิพัฒน์ พสุธารชาติ
ปริทัศน์หนังสือ การค้าชายแดน:
จินตนาการเชิงพื้นที่และการผันแปรทางภูมิศาสตร์
Geographical Diversions: Tibetan Trade, Global
Transactions Tina Harris, 2013 Georgia University Press ..........223
บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล
มนุษย์สำานึกใหม่กับปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อจุดจบ
ของระบบทุนนิยม: อุดมคติที่อาจ (แต่คงไม่ใช่ในเร็ววัน) เป็นจริง ?
David Harvey (2014) Seventeen Contradictions and the End
of Capitalism Sufolk, Great Britain: Proile Book
eISBN 9781782830085 (338 pages) ..............................................233
วรารัก เฉลิมพันธุศักดิ์
จิ้มก้องขอหองโอรสสวรรค์:
สมเด็จพระเจ้าตากสินกับจีนราชวงศ์ชิง*
เจมส์ เค. ชิน (เฉียนเจียง)** เขียน
อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู*** แปล
* แปลจากบทความภาษาอังกฤษ เรื่อง “Seeking Recognition from the Son of Heaven:
King Taksin’s Siam and Qing China during the Late Eighteenth Century” ซึ่งน�าเสนอ
ในงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง ความเปลี่ยนแปลงของลักษณะความสัมพันธ์ใน
เอเชียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ศูนย์นาลันทา-ศรีวิชัย สถาบัน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (ISEAS) ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 18-20 เมษายน
พ.ศ. 2554 ผู้แปลขอขอบพระคุณคุณสุพจน์ แจ้งเร็ว ส�าหรับความอนุเคราะห์ด้านเอกสาร
ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
** James K. Chin (錢江) ศาสตราจารย์และรองคณบดีประจ�าส�านักวิจัยจีนโพ้นทะเล
มหาวิทยาลัยจี้หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
*** นักศึกษาปริญญาเอก สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 37 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2559): หน้า 1-23
2
สมเด็จพระเจ้าตากสินเป็นวีรกษัตริย์พระนามอุโฆษในประวัติศาสตร์
ไทย พระราชประวัตขิ องพระองค์เป็นประเด็นให้นกั ประวัตศิ าสตร์คน้ คว้าทบทวน
อยู่เนืองๆ แม้จะทรงมีบทบาทโดดเด่นบนเวทีประวัติศาสตร์เพียงสิบห้าปี
งานเขี ย นจ� า นวนมากศึ ก ษาพระราชกรณี ย กิ จ ทั้ ง ที่ สั ม ฤทธิ์ แ ละล้ ม เหลว
ในการจรรโลงสยามให้เป็นปึกแผ่น ด้วยเหตุทยี่ คุ ธนบุรเี ป็นยุคทีม่ คี วามส�าคัญใน
ประวั ติ ศ าสตร์ ไ ทยและประวั ติ ศ าสตร์ ค วามสั ม พั น ธ์ ไ ทย-จี น ทั้ ง สมเด็ จ พระเจ้าตากสินก็ทรงมีเชือ้ สายจีน จึงอาจมีผคู้ าดหมายว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง
สยามกับจีนในรัชกาลของพระองค์จะด�าเนินไปอย่างราบรื่นและใกล้ชิดยิ่งกว่า
ที่เคยเป็นมาในยุคอยุธยา อย่างไรก็ดี หลักฐานประวัติศาสตร์ฝ่ายจีนได้แสดงให้
เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับตาลปัตร แท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง
สมเด็จพระเจ้าตากสินกับราชส�านักชิงนั้นย�่าแย่มาตั้งแต่ต้น และแม้จะทรง
พยายามหลายครั้งหลายหนตลอดพระชนม์ชีพเพื่อให้จีนรับรองพระราชสถานะ
ของพระองค์ แต่พระราชปณิธานก็มิได้สัมฤทธิผล เพราะเหตุใดราชส�านักจีน
จึงอิดเอื้อนที่จะรับรองและสนับสนุนระบอบของพระองค์ พระองค์ทรงด�าเนิน
พระบรมราโชบายอย่างไรเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีน และแรงผลักดันอะไร
ที่อยู่เบื้องหลังวิเทโศบายของพระองค์ที่เน้นความสัมพันธ์กับจีน บทความนี้
จะตอบค�าถามเหล่านี้ด้วยการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระเจ้าตากสินกับราชส�านักจีนระหว่าง พ.ศ. 2311-2325 โดยอ้างอิงหลักฐานข้อมูล
จากเอกสารจีนเป็นส�าคัญ
ต้นรัชกาล
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระราชสมภพในปี พ.ศ. 2277 ที่กรุง
ศรีอยุธยา พระราชบิดาเป็นชาวจีนชื่อเจิ้งยง (郑镛) เจิ้งยงได้แต่งงานกับหญิง
ไทยชื่อนกเอี้ยง และรับราชการเป็นนายอากรบ่อนเบี้ย ต่อมาเจ้าพระยาจักรี
สมุ ห นายกในรั ช สมั ย สมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว บรมโกศได้ รั บ เลี้ ย งสมเด็ จ
พระเจ้าตากสินเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ พระองค์เจริญ
พระชนม์ขึ้นโดยรับสั่งได้คล่องแคล่วทั้งภาษาไทยและภาษาจีน นอกจากนี้
3
ยังทรงศึกษาภาษาญวนและภาษาแขกด้วย 1 ในครั้งที่พม่ายกทัพมารุกราน
กรุงศรีอยุธยานั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าเมืองตากซึ่งตั้งอยู่ติดกับก�าแพงเพชร
และได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยา จึงเป็นที่รู้จักกันในนามพระยาตาก พระองค์
ได้ทรงคุมไพร่พลออกสู้รบปกป้องอยุธยา ครั้นแจ้งพระทัยว่าอยุธยาไม่อาจ
ต้านทานทัพพม่าได้แล้ว พระองค์จึงทรงน�าสมัครพรรคพวกหลบหนีออกจาก
อยุธยาก่อนจะเสียแก่ข้าศึก2 เมื่ออยุธยาเสียแก่พม่าในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.
2310 นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงควบคุมเมืองระยองและชลบุรีไว้ได้แล้ว
ต่อมาในเดือนมิถุนายน พระองค์ก็ทรงตีได้เมืองจันทบุรีและยึดครองตราดได้
หลังจากนั้นไม่นานนัก ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2310 ทรงสถาปนาอ�านาจเหนือ
ดินแดนส่วนหนึ่งนอกความควบคุมของพม่า3 ช่วงเดียวกันนี้เองก็ทรงยึดครอง
เมืองท่าธนบุรีซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น�้าเจ้าพระยาไว้ได้ และทรงตั้งกอง
บั ญ ชาการขึ้ น ที่ ธ นบุ รี สองเดื อ นต่ อ มา สมเด็ จ พระเจ้ า ตากสิ น ก็ ไ ด้ ท รง
ปราบดาภิเษกขึน้ เป็นกษัตริยแ์ ห่งกรุงธนบุรี4 โดยอาศัยพลังสนับสนุนจากขุนนาง
ทหาร ตลอดจนชาวจีนแต้จิ๋วจากทางชายฝั่งตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง
อันเป็นภูมลิ า� เนาเดิมของบรรพบุรษุ ของพระองค์ จดหมายเหตุราชวงศ์ชงิ บันทึก
ไว้ว่า หลังจากที่ทรงสถาปนาธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ได้
โปรดเกล้าฯ ให้เฉินเหม่ย (陈美) พ่อค้าชาวจีนแต้จวิ๋ ผูห้ นึง่ ซึง่ ไปมาค้าขายระหว่าง
สยามกับจีนเดินทางไปยังกวางตุ้ง เฉินเหม่ยอัญเชิญพระราชสาส์นสามฉบับ
1
2
3
4
William G. Skinner, Chinese society in Thailand: An Analytical History, Ithaca and New
York: Cornell University Press, 1957, pp. 20, 387-388; Rong Syamanonda, A history
of Thailand, Bangkok: Chulalongkorn University Press, 1973, p. 93.
W. A. R. Wood, A History of Siam, Bangkok: 1933, p. 248.
M. Turpin, History of the Kingdom of Siam, Translated by B. O. Cartwright, (American
Presbyterian Mission Press, Bangkok, 1908), pp. 167-179; Ronald Bishop Smith,
Siam or the History of the Thais from 1569 A.D. to 1824 A.D., (Bethesda, Maryland,
1967), p. 102.
David K. Wyatt, Thailand: A Short History, (Yale University Press, New Haven, 1982),
pp. 140-141.
4
โดยสารส�าเภาไปถึงกวางโจวช่วงต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2311 ฉบับหนึ่งถวาย
จักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆) ฉบับหนึ่งถึงหลี่ซื่อเหยา (李侍尧) ข้าหลวงใหญ่
แห่งมณฑลกวางตุ้งและกวางสี และอีกฉบับหนึ่งถึงอุปราชมณฑลกวางตุ้ง
ในพระราชสาส์นทั้งสามฉบับนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงแจ้งมายังรัฐบาลจีน
ว่า อยุธยาถูกทัพพม่าปล้นท�าลายและราชวงศ์เดิมได้ถึงแก่อวสานแล้ว จากนั้น
มีพระบรมราชาธิบายว่า ทรงคุมไพร่พลออกรบพุ่งกับพม่าจนศัตรูแตกพ่าย
ไป ราษฎรสยามจึงได้อัญเชิญพระองค์ให้ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ อนึ่ง พระองค์
ยังได้ทรงร้องเรียนด้วยว่า มีผู้ปกครองท้องถิ่นอีกสามหัวเมือง ได้แก่ ฝูซื่อลู่
(扶世禄 พิษณุโลก) ลู่คุน (禄坤 นครศรีธรรมราช) และเกาเลี่ย (高烈 โคราช) ซึ่ง
ยังแข็งข้อต่อต้านอ�านาจของพระองค์ในสยาม ด้วยเหตุนี้จึงทรงขอให้ราชส�านัก
จีนรับรองและพระราชทานตราตั้งแก่พระองค์ด้วย5
ในลักษณาการเช่นนี้เองที่พระนามของสมเด็จพระเจ้าตากสินปรากฏ
เป็นครั้งแรกในจดหมายเหตุของราชส�านักจีน ด้วยเหตุผลบางประการ หนังสือที่
หลี่ซื่อเหยาถวายแด่จักรพรรดิเฉียนหลงในต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2311 เรียก
สมเด็จพระเจ้าตากสินว่า กานเอินชื่อ (甘恩敕) ซึ่งอาจเป็นสมญานามภาษาจีน
พระนามภาษาไทย หรือพระอิสริยยศภาษาไทยก็เป็นได้ แม้สมเด็จพระเจ้าตากสิน
จะทรงมีเชือ้ สายจีนและได้เสด็จขึน้ ครองราชสมบัตแิ ล้ว แต่กระนัน้ ราชส�านักจีน
ก็ปฏิเสธทีจ่ ะรับรองพระราชสถานะและไม่พระราชทานตราตัง้ ดังพระราชประสงค์
จักรพรรดิเฉียนหลงมีพระราชกระแสในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2311 ว่า
กานเอินชื่อเดิมอยู่ในแผ่นดินจีนเป็นแต่เพียง
คนเข็ญใจ ครั้นอยู่มาจึงล่องเรือข้ามทะเลไปได้เป็น
หัวหน้าพวกอี๋ [夷 อนารยชน] ได้ท�าราชการเป็น
ขุนนางในพระเจ้าแผ่นดินสยาม มาบัดนีใ้ นแผ่นดินนัน้
[สยาม] บ้านเมืองถูกท�าลายราบคาบลง ทั้งพระเจ้า5
“บันทึกของข้าหลวงใหญ่หลี่ซื่อเหยา,” สื่อเลี่ยวสวินคาน (史料旬刊 ข้อมูลประวัติศาสตร์
รายทศวาร), พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ, ปักกิ่ง, 1930-31, หมายเลข 30, หน้า
104b-107a.
5
แผ่นดินก็ดบั สูญ กานเอินชือ่ เห็นได้ทเี มือ่ แผ่นดินเป็น
จลาจลวุน่ วาย ลืมพระมหากรุณาธิคณ
ุ พระเจ้าแผ่นดิน
ที่ ชุ บ เลี้ ย ง มิ ไ ด้ ย กเชื้ อ พระวงศ์ ใ ห้ เ สวยราชสมบั ติ
กอบกู้บ้านเมืองแลแก้แค้นเสี้ยนศัตรู กลับตั้งตนเป็น
พระเจ้าแผ่นดินเสียเอง แล้วบังอาจมาขอตราตั้งด้วย
หวังจะได้เป็นใหญ่เหนือคนทั้งปวงอีกเล่า ช่างท�าการ
ก�าเริบยิ่งนัก6
จักรพรรดิเฉียนหลงไม่เพียงแต่รับสั่งให้หลี่ซื่อเหยาคืนพระราชสาส์น
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินแก่เฉินเหม่ยเท่านัน้ หากแต่ยงั มีพระราชบัญชาให้สภา
ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (军机处 จวินจีชู่) ร่างหนังสือบอกปัดพระราชประสงค์
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินในนามของหลี่ซื่อเหยาด้วย หนังสือฉบับนี้สะท้อน
ให้ เ ห็ น ท่ า ที เ ย็ น ชาของราชส� า นั ก ชิ ง ต่ อ สมเด็ จ พระเจ้ า ตากสิ น อย่ า งชั ด เจน
ดังความว่า
ซึ่ง ตัวใช้เ ฉิน เหม่ยถือ หนั งสื อมากวางตุ ้ งเพื่ อ
กราบทูลขอพระราชทานตราตั้งจากพระราชส�านัก
ต้าฉิง้ นัน้ มิบงั ควรนักหนา พระเจ้าแผ่นดินสยามถึงอยู่
โพ้นทะเลก็มใี จนับถือย�าเกรง ได้ถวายบรรณาการกรุง
จีนสืบมาหลายพระองค์ สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้ง
ผู้ใหญ่ครั้นแจ้งว่าพระเจ้าแผ่นดินสยามเลื่อมใสก็มี
น�้าพระทัยยินดี จึงพระราชทานของก�านัลแลตราตั้ง
มาบัดนี้พวกอนารยชนสักตามตัว [พม่า] ได้เข้าต่อตี
แลปล้นชิงจนบ้านเมืองสยามนั้นพินาศท�าลาย ทั้ง
พระเจ้าแผ่นดินก็ถกู ปลงพระชนม์ ตัวเป็นข้าทูลละออง
ธุ ลี พ ระบาทผู ้ ห นึ่ ง ทรงพระกรุ ณ าชุ บ เลี้ ย งให้ เ ป็ น
6
เฉี ย นหลงเฉาตงหั ว ลู ่ (乾隆朝东华录 จดหมายเหตุ พ ระที่ นั่ ง ตงหั ว รั ช สมั ย จั ก รพรรดิ
เฉียนหลง), 1911, ปักกิ่ง, ม้วน 68.
6
ขุนนาง ครัน้ เห็นพระเจ้าแผ่นดินถูกปลงพระชนม์ทงั้ นี้
ควรจะมีใจสัตย์ซื่อยิ่งกว่าแต่ก่อน แลเร่งกอบกู้บ้าน
เมืองยกไปรบด้วยข้าศึกให้หายแค้น เมื่อครั้งแผ่นดิน
เป็นอันตรายนัน้ อาณาประชาราษฎรหลบหลีกหนีศกึ
แตกฉานซ่านเซ็นล้มตายเป็นอันมาก จะกลับคืนเป็น
ปรกติเห็นยากนัก ควรที่ตัวจะคิดอ่านท�านุบ�ารุงเชื้อ
พระวงศ์ให้กอบกู้บ้านเมือง ล�าดับวงศ์กระษัตริย์ใน
พระเจ้าแผ่นดินของตัวซึ่งสวรรคตนั้นจะได้สืบเนื่อง
ดังเดิม มาตรว่าตัวท�าทั้งนี้มีหรือที่ขุนนางข้าราชการ
ใหญ่น้อยจะไม่ชื่นชมสรรเสริญที่ตัวท�านุบ�ารุงพระราชวงศ์ด้วยความกตัญญูสัตย์ซื่อ ครั้นเชื้อพระวงศ์
เสวยราชสมบัติโดยประเพณี แล้วตัวบอกหนังสือ
กราบทูลไปถึงราชส�านัก ย่อมเป็นที่ชื่นชมยินดีแก่คน
ทั้งหลายเป็นมั่นคง แลหากสมเด็จพระเจ้าหมื่นปีแจ้ง
การทัง้ นัน้ ก็จะมีความยินดีเป็นอันมาก อนึง่ กิตติศพั ท์
ผู้คนพูดจาว่าเมื่อตัวรบพุ่งด้วยพวกพม่ารามัญสักตัว
จนได้ชัยชนะ ตัวได้ขึ้นภูเขาหางาช้างแลนอระมาด
มาแจกจ่ายราษฎรซึง่ หลบลีห้ นีภยั ตามต้องการ แสดง
ว่าตัวมีสติปัญญาแลความสามารถ บัดนี้จ้าวหวังจี๋
(诏王吉) ผู้พี่พระเจ้าแผ่นดิน กับจ้าวชุ่ย (诏萃) แล
จ้าวซือ่ ชาง (诏世昌) หลานพระเจ้าแผ่นดินของตัวต่างก็
ซุกซ่อนอยู่ในแผ่นดิน [สยาม?] ตัวมิได้ชักชวนขุนนาง
ทั้งปวงให้ยกพระองค์ขึ้นเป็นใหญ่แลท�านุบ�ารุงราชสมบัติ จะได้ปรากฏชื่อเสียงขจรขจายสืบไป กลับฉวย
ทียามบ้านเมืองเป็นจลาจลตั้งตนเป็นใหญ่ แล้วสิมา
ขอพระราชทานตราตัง้ แลถืออิสริยยศพระเจ้าแผ่นดิน
อีกเล่า ซึง่ ตัวใฝ่สงู เกินต�าแหน่งแลฐานะ มิได้ตง้ั อยูโ่ ดย
ยุติธรรมตามประเพณี จะหาสิ่งใดหยาบช้าเสมอด้วย
มิได้ แม้คิดถึงโทษตัวจะอยู่เป็นผาสุกไฉนได้ เดิมทีตัว
7
เป็นแต่เพียงคนสามัญจากแผ่นดินจีน ย่อมคุ้นเคย
อย่างธรรมเนียมมีมา แลย่อมรู้ว่าโจรขุนนางกระบถ
มักอ้างธรรมเนียมจีนแต่โบราณท�าหยาบช้าต่างๆ จง
เร่ ง พิ เ คราะห์ ดู ตั ว เสี ย บั ด นี้ ตั ว กุ ม เหงเบี ย ดเบี ย น
พิษณุโลก นครศรีธรรมราช แลโคราชด้วยหวังจะเป็น
ใหญ่ ใ นแผ่ น ดิ น เกลื อ กหั ว เมื อ งทั้ ง สามยกทั พ มา
บรรจบรบด้วยตัวก็จะชอบด้วยเหตุผล การทัง้ ปวงทีต่ วั
ท�าอยูน่ นั้ ผิดท�านองคลองธรรม ธรรมดาสวรรค์จะค�า้ ชู
ผู ้ ถื อ คุ ณ ธรรมแลกระท� า อั น ตรายแก่ ค นอาสั ต ย์
อาธรรม ฝ่ายใดจะชนะแลแพ้ย่อมแจ้งชัด ตัวชอบจะ
ชักน�าอันตรายใส่ตวั หรือไฉน สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิง้
ผู้ใหญ่ทรงพระเมตตาสั่งสอน แลใช้คุณธรรมขัดเกลา
พวกอี๋ [夷 อนารยชน] แลพวกเซี่ย [夏 จีน] ทรงเป็น
แบบอย่ า งแก่ แ ผ่ น ดิ น น้ อ ยใหญ่ ความอั น ตั ว ได้
กราบทูลมานัน้ เป็นการหยาบช้ามิได้ถกู ต้องตามจารีต
ธรรมเนียม เราจะกราบทูลสมเด็จพระเจ้าหมืน่ ปีหาได้
ไม่ จึงคืนหนังสือให้เฉินเหม่ยน�ากลับไป เรามีตา� แหน่ง
รั บ ผิ ด ชอบป้ อ งกั น ชายแดน แลมี ห น้ า ที่ ป ระกาศ
ราชธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งตัวมัวมนสับสนไปนี้
เรานึกสังเวชใจนัก จึงได้มีหนังสือชี้แนะมาให้คืนสติ
แจ่มใสขึ้น หากตัวส�านึกหันมามีใจสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า
แผ่นดินของตัว แลคิดการจะฟื้นพระราชวงศ์ให้ล�าดับ
ดังเดิมดังที่พระราชส�านักต้าฉิ้งมุ่งหมายแล้ว ตัวย่อม
ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จพระเจ้าหมื่นปีคุ้มครอง
สืบไปชั่วนาน จงอย่าดึงดันประพฤติการหยาบช้าอีก
เราขอชี้แนะมาดังนี้7
7
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่ (大清高宗纯皇帝实录 จดหมายรับสั่งจักรพรรดิเฉียนหลง),
ปักกิ่ง พิมพ์ซ�้า, 1986, ม้วน 817.
8
เนื้อความข้างต้นนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า แนวคิดเรื่องสิทธิธรรมแบบ
จารีตของจีนที่เน้นการสืบสันตติวงศ์เป็นปัจจัยส�าคัญที่ท�าให้จักรพรรดิจีนมีท่าที
เชิงลบเช่นนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนให้ราชส�านักชิงบอกปัด
พระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินอย่างแข็งกร้าว เราทราบจากหนังสือ
ของหลี่ซื่อเหยาถึงราชส�านักว่า ในขณะที่เฉินเหม่ยอัญเชิญพระราชสาส์นมาถึง
กวางโจวนั้น โม่ซื่อหลิน (莫士麟) ผู้น�าจีนคนส�าคัญในเมืองห่าเตียน [พุทไธมาศ
หรือบันทายมาศก็เรียก – ผู้แปล] ทางตอนใต้ของเวียดนาม ซึ่งอพยพมาจาก
เหลยโจว มณฑลกวางตุ้ง ได้ส่งข้าราชการผู้หนึ่งนามว่าหลินอี้ (林义) มายังจวน
ของหลี่ซื่อเหยา หลินอี้มีผู้ติดตาม ได้แก่ โม่หยวนเกา (莫元高) ผู้เป็นล่าม กับ
สื่อหนิง (史宁) และหวงหยาง (黄杨) ผู้คุ้มกัน หลินอี้ได้มอบแผนที่สยามและ
ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แก่รัฐบาลจีน และแจ้งว่าจ้าวชุ่ย
(เจ้าจุ้ย?) และจ้าวซื่อชาง (เจ้าศรีสังข์?) พระราชอนุชาในสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
(สุริยามรินทร์) ได้เสด็จลี้ภัยสงครามมาพ�านักอยู่ที่ห่าเตียน เรายังทราบจาก
สาแหรกตระกูลโม่ในเมืองห่าเตียนและเมืองเย่พร้อมอรรถาธิบาย (河仙镇叶镇
莫氏家谱注釋 เหอเซียนเจิน
้ เย่เจิน้ โม่ซอื่ เจียผูจ่ ซู้ อื่ ) [ต้นฉบับภาษาจีนน่าจะแปล
ว่า อรรถาธิบายสาแหรกตระกูลโม่ผู้ปกครองเมืองห่าเตียน - ผู้แปล] ว่า ในขณะ
นั้นโม่ซื่อหลินต้องการครองความเป็นใหญ่ในสยาม และมุ่งชิงอ�านาจกับสมเด็จ
พระเจ้าตากสินโดยช่วยเหลือเจ้านายอยุธยาให้ได้นิวัตบ้านเมืองแล้วเกื้อหนุน
เจ้านายเหล่านั้นให้กอบกู้บ้านเมืองจนเป็นปึกแผ่นส�าเร็จ8 โม่ซื่อหลินเป็น
บัณฑิตจีนผู้หนึ่งจึงย่อมเข้าใจแนวคิดขงจื๊อว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์เป็นอย่างดี
และค่อนข้างแน่ใจว่า ราชส�านักชิงจะพึงใจกว่าหากเจ้านายอยุธยาจะกลับขึ้น
ครองราชสมบัตเิ พราะสอดคล้องกับจารีตค�าสอนของขงจือ๊ จึงไม่นา่ ประหลาดที่
หลินอี้จะอธิบายพื้นเพตระกูลของสมเด็จพระเจ้าตากสินแก่หลี่ซื่อเหยาโดยเน้น
ความต�่าศักดิ์ของพระองค์ในสยาม ในทศวรรษ 2300 รัฐบาลจีนได้เสาะแสวง
8
เฉินจิงเหอ, “เหอเซียนเจิ้นเย่เจิ้นโม่ซื่อเจียผู่จู้ซื่อ” (陈荆和: “河仙镇叶镇莫氏家谱注釋”
สาแหรกตระกูลโม่ในเมืองห่าเตียนและเมืองเย่พร้อมอรรถาธิบาย), เหวินสื่อเจ๋อเสวียเป้า
(文史哲学报 วารสารวรรณคดี ประวัติศาสตร์ และปรัชญา), ไทเป: มหาวิทยาลัยไต้หวัน,
ฉบับที่ 7, หน้า 100-101.
9
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสยามโดยอาศัยกลุ่มการเมืองที่ปกครองโดยตระกูลโม่
ณ เมืองห่าเตียนเป็นส�าคัญ ราชส�านักจึงมักจะเชื่อรายงานของทูตจากตระกูลโม่
เหตุฉะนี้ จึงมิพักจะต้องสงสัยเลยว่า การที่ตระกูลโม่เหยียดหยันสถานะของ
สมเด็จพระเจ้าตากสินน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ท�าให้ราชส�านักจีนมีทัศนคติเชิงลบ
ต่อราชทูตทีส่ มเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งไปจีนครัง้ แรก ความมุง่ หมายของโม่ซอื่
หลินในการส่งทูตไปยังจีนจึงเป็นอันบรรลุ จีนได้ตอ้ นรับขับสูห้ ลินอีแ้ ละผูต้ ดิ ตาม
ด้วยดีทกี่ วางโจว และได้พระราชทานผ้าแพรและพระราชสาส์นทีม่ พี ระราชด�ารัส
ของจักรพรรดิเฉียนหลงกลับไปยังบ้านเมืองของตนด้วย ในขณะที่ข้อเรียกร้อง
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินกลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
ประเด็นส�าคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องกล่าวไว้ ณ ที่นี้มีอยู่ว่า ในขณะ
นัน้ รัฐบาลจีนคิดจะร่วมมือกับสยามยกทัพตีกระหนาบพม่า ความขัดแย้งระหว่าง
จีนกับพม่าเริ่มขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2305 เมื่อพม่ายกทัพเข้าโจมตีบริเวณเกิ๋งหม่า
(耿马) และเหมืองแร่เงินเม่าหลง (茂隆) ในยูนนานโดยที่จีนไม่ทันได้ตั้งตัว9 ใน
ที่สุดสงครามระหว่างจีนกับพม่าก็ปะทุขึ้นในปี พ.ศ. 2308 อย่างไรก็ดี กองทัพ
แมนจูต้องปราชัยอย่างต่อเนื่องเพราะโรคกึ่งเขตร้อน อาทิ โรคมาลาเรียชนิด
รุนแรง ซึ่งคร่าชีวิตไพร่พลไปเป็นจ�านวนมาก จึงน่าสนใจที่เอกสารหลักฐาน
ฝ่ายราชวงศ์ชิงได้บันทึกไว้ว่า จากนั้นไม่นานนัก ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2310
หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกราวหนึ่งเดือน หยางอิงจวี (杨应琚) ข้าหลวงใหญ่
แห่งมณฑลยูนนานและกุ้ยโจวได้เสนอแผนการพิเศษ และแนะให้ราชส�านัก
ชิงเกณฑ์รพี้ ลห้าหมืน่ คนร่วมมือกับทัพสยามยกไปตีกระหนาบพม่า แต่จกั รพรรดิ
เฉียนหลงทรงบริภาษแผนการดังกล่าวว่า “น่าขันเป็นที่ยิ่ง”10 กระนั้นก็ดี แม้จะไม่
ขานรับข้อเสนอของหยางอิงจวี แต่ราชส�านักชิงก็ยังคงปริวิตกกับสถานการณ์ใน
สยามอย่างมากและจับตาดูการรบพุ่งระหว่างสยามกับพม่าในขณะนั้น ในวันที่
12 กรกฎาคม พ.ศ. 2310 จักรพรรดิเฉียนหลงมีพระราชโองการให้หลี่ซื่อเหยา
ซึ่งอยู่ ณ กวางโจวส่งหนังสือกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินสยามให้ทรงทราบเวลาที่
กองทัพแมนจูจะยกเข้าตีพม่า พร้อมทั้งทูลด้วยว่าราชส�านักชิงคาดหมายให้ทัพ
9
10
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 752.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 783.
10
สยามติดตามจับกุมแม่ทพั นายกองฝ่ายพม่าทีอ่ าจจะแตกหนีมายังสยามหลังจาก
ถูกทัพแมนจูโจมตี ยิง่ ไปกว่านัน้ จักรพรรดิเฉียนหลงยังมีพระราชบัญชาให้หลีซ่ อื่ เหยารวบรวมข้อมูลการเดินเรือ เช่น ระยะทางทะเลจากกวางตุ้งถึงสยาม แหล่ง
จอดเรือและกลุ่มการเมืองต่างๆ ตามชายฝั่งคาบสมุทรอินโดจีน ตลอดจนระยะ
เวลาในการเดินทางให้พร้อมสรรพ อย่างไรก็ดี หนังสือส�าคัญทางการทูตนี้มิได้
ตกมาถึงราชส�านักสยามทีอ่ ยุธยา เมือ่ สวีฉ่ วน (许全) ผูบ้ ญ
ั ชาการกองพลซึง่ หลี-่
ซื่อเหยาให้เป็นม้าใช้เตรียมจะออกเดินทางไปส่งสาส์น คณะทูตจากอยุธยาซึ่ง
ออกจากจีนไปหลายสัปดาห์กไ็ ด้กลับมายังกวางโจวอีกครัง้ จากนัน้ จึงได้แจ้งข่าว
ทีต่ นได้ยนิ ในระหว่างกลับสยามว่า อยุธยาได้เสียแก่พม่าแล้วและสมเด็จพระเจ้า
เอกทัศน์ก็เสด็จสวรรคต กล่าวได้ว่า ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2311 หลัง
จากทีก่ รุงศรีอยุธยาแตกแล้วกว่าสิบห้าเดือน ราชส�านักจีนเพิง่ จะทราบเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุดังนั้น พระราชสาส์นและของก�านัลที่จะถวายสมเด็จพระเจ้า
เอกทัศน์จึงถูกส่งคืนกลับมายังราชส�านักชิง ส่วนสวี่ฉวนก็ได้รับบัญชาให้ไป
สังเกตการณ์ที่สยาม11 อย่างไรก็ดี จักรพรรดิเฉียนหลงตัดสินพระทัยอย่างลับๆ
ในวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2311 ว่า รัฐบาลจีนจะส่งกองเรือไปโจมตีพม่าทันทีที่
สยามขอความช่วยเหลือจากจีน เพื่อช่วยกอบกู้บ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นและ
ขับไล่พม่าออกจากสยาม12 กล่าวโดยสังเขป ราชส�านักชิงหวังใจว่าเจ้านายอยุธยา
จะร้องขอความช่วยเหลือจากจีน แทนที่จะเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินซึ่งขึ้น
ครองราชย์โดยปราศจากความชอบธรรม เนื่องจากจีนหวังจะก�าราบฝ่ายพม่า
นั่นเอง
ความล้ ม เหลวทางพระราชไมตรี นี้ ค งจะบั่ น ทอนพระทั ย สมเด็ จ
พระเจ้าตากสิน หาไม่แล้วพระองค์ก็ทรงพัวพันอยู่กับการขับไล่พม่าออกจาก
สยาม ปราบปรามผู้ปกครองชุมนุมอิสระต่างๆ หรือรวบรวมบ้านเมืองให้เป็น
11
12
“รายงานคณะที่ปรึกษาพระราชพิธี”, หมิงชิงสื่อเลี่ยว: เกิงเปียน (明清史料: 庚编 ข้อมูล
ประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์หมิงและชิง: ชุดเกิง), ไทเป, 1960, เล่ม 6, หน้า 538; “หนังสือ
ของหลีซ่ อื่ เหยา”, กงจงตัง้ เฉียนหลงเฉาโจ้วเจ๋อ (宫中档乾隆朝奏折 หนังสือลับพระราชวัง
รัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง), พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ, ไทเป, 1983, ม้วน 27, หน้า
691-692; ม้วน 31 หน้า 470-471.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 814.
11
ปึกแผ่น ในช่วงสามปีต่อมา สมเด็จพระเจ้าตากสินมิได้ทรงส่งทูตไปยังจีนแม้
สักครั้ง ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลจีนยังคงปริวิตกกับสถานการณ์ในสยาม ใน
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311 เฉิงเจ๋อ (程辙) ผู้บัญชาการกองหนุน (守备
โส่วเป้ย) ซึ่งถูกพม่าจับเป็นเชลยได้ส่งหนังสือจากอังวะมาถวายจักรพรรดิ
เฉียนหลงว่า สยามต้องการฟื้นฟูอ�านาจของตนให้กลับคืนดังเดิม เมื่อจักรพรรดิ
ได้รับหนังสือจากเฉิงเจ๋อก็รับสั่งให้หลี่ซื่อเหยาส่งคนไปห่าเตียนเพื่อสืบทราบ
สถานการณ์ที่แท้จริงในสยามจากโม่ซื่อหลิน13 หลี่ซื่อเหยาจึงส่งเจิ้งรุ่ย (郑瑞)
รองผู้บัญชาการกองพลรอนแรมไปกับส�าเภาพ่อค้าจีนจนถึงห่าเตียนในเดือน
ธันวาคม ปรากฏว่าเจ็ดเดือนต่อมาเจิง้ รุย่ ก็ยงั ไม่กลับมาจีนและไม่ทราบได้วา่ เกิด
อะไรขึ้นกับเจิ้งรุ่ย วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2312 จักรพรรดิเฉียนหลงรับสั่งถาม
มหาอ�ามาตย์แห่งรัฐว่า ผู้ใดครองอ�านาจอยู่ในขณะนั้น ผู้ใดควบคุมสยามอยู่
และรัฐบาลจีนยังควรจะรับหนังสือจากสมเด็จพระเจ้าตากสินอีกต่อไปหรือไม่14
ต่อมาหลี่ซื่อเหยาได้ส่งไช่ฮั่น (蔡汉) ผู้บัญชาการกองพลอีกนายหนึ่งไปยัง
ห่าเตียนในช่วงต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2312 เพือ่ บอกให้โม่ซอื่ หลินจับกุมพวกพม่า
แตกทัพ หลังจากไช่ฮั่นมาถึงห่าเตียน โม่ซื่อหลินจึงแนะน�าว่าควรส่งค�าสั่งนั้นไป
ถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินด้วย ไช่ฮั่นจึงได้ส่งหนังสือไปถึงสมเด็จพระเจ้าตากสิน
โดยพลการว่าให้ติดตามจับกุมพม่าแตกทัพ15 ในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2312
จักรพรรดิเฉียนหลงได้รับหนังสือจากหลี่ซื่อเหยา อ้างอิงรายงานการตรวจตรา
สถานการณ์ ใ นสยามของเจิ้ ง รุ ่ ย เพิ่ ง จะบั ด นี้ เ องที่ ร าชส� า นั ก ชิ ง ตระหนั ก ว่ า
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงควบคุมสยามอยู่ และหมดหนทางที่เจ้านายอยุธยา
จะกลับมาสืบสันตติวงศ์ดงั เดิมแล้ว16 รัฐบาลจีนเมือ่ ทราบดังนัน้ จึงไม่มที างเลือก
อื่นนอกจากปรับเปลี่ยนนโยบายทางการทูตกับสยาม และค่อยๆ คลายความ
เฉยชาต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินลง ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่เจิ้งรุ่ยและไช่ฮั่น
13
14
15
16
กงจงตั้งเฉียนหลงเฉาโจ้วเจ๋อ, ม้วน 32; ม้วน 361-362; ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่,
ม้วน 820.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 837.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 891.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 838; เฉียนหลงเฉาตงหัวลู่, ม้วนที่ 70.
12
รวบรวมได้ที่ห่าเตียนท�าให้ราชส�านักชิงพลันตระหนักว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน
แห่งกรุงธนบุรีกับโม่ซื่อหลินแห่งเมืองห่าเตียนตระเตรียมก�าลังจะรบกัน อีกทั้ง
โม่ซื่อหลินก็ก�าลังหาทางหว่านเพาะความบาดหมางระหว่างจีนกับสยามด้วย
เหตุฉะนี้ ราชส�านักชิงจึงเชื่อถือรายงานของโม่ซื่อหลินน้อยลงเรื่อยๆ17
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2312 โม่ซื่อหลินเกณฑ์ไพร่พลห้าหมื่นคน
ให้ เ ฉิ น เหวิ น ฟาง ( 陈文方) ยกไปตี จั น ทบุ รี ซึ่ ง เป็ น ที่ มั่ น ส� า คั ญ ของสมเด็ จ
พระเจ้าตากสินในสยามเพื่อท้าทายอ�านาจของพระองค์ เฉินเหวินฟางพ่ายทัพ
ยับเยิน สูญเสียไพร่พลกว่าสามหมื่นคน สองเดือนต่อมาจึงยกทหารที่เหลือรอด
กลับไปยังห่าเตียน18 จากนัน้ ไม่นานนัก โม่ซอื่ หลินก็ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
จีนให้สั่งทัพพม่าให้ร่วมมือกับตนยกมาตีสมเด็จพระเจ้าตากสิน อย่างไรก็ดี
กาลเวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนไปแล้ว ราชส�านักชิงได้เปลี่ยนแนวนโยบายทั้งต่อ
สมเด็จพระเจ้าตากสินและโม่ซื่อหลิน ดังนั้น จักรพรรดิเฉียนหลงจึงมีพระราชสาส์นตอบกลับมาว่า ไม่ทรงสนับสนุนให้โม่ซื่อหลินโจมตีสมเด็จพระเจ้าตากสิน
และจะไม่มีพระราชบัญชาให้พม่ารุกรานสยามด้วย จักรพรรดิเฉียนหลงทรงวาง
พระองค์เป็นกลางในระหว่างความขัดแย้งของสองฝ่าย น่าสนใจว่า นับแต่น้ี
เป็ น ต้ น ไป รั ฐ บาลจี น จะเรี ย กสมเด็ จ พระเจ้ า ตากสิ น ในเอกสารทางการว่ า
พีหย่าซิน (丕雅新 พระยาสิน) แทนกานเอินชือ่ แต่เดิม19 นีอ่ าจเป็นหลักฐานหนึง่
ที่แสดงให้เห็นทัศนคติของรัฐบาลจีนต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินที่เปลี่ยนแปลงไป
ก็เป็นได้
จุดสูงสุดของความสัมพันธ์
หากพิ จ ารณาว่ า ระหว่ า ง พ.ศ. 2311-2313 เป็ น ช่ ว งที่ ส มเด็ จ
พระเจ้าตากสินทรงประสบมรสุมความสัมพันธ์แล้ว ช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2314
เป็นต้นไปก็ถอื เป็นช่วงทีค่ วามสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กบั จีนกระเตือ้ งขึน้ เรือ่ ยๆ
สมเด็จพระเจ้าตากสินอาจจะทรงทราบว่าจีนเปลี่ยนแนวนโยบายใหม่ กระนั้นก็ดี
17
18
19
เฉียนหลงเฉาตงหัวลู่, ม้วน 72.
เฉินจิงเหอ, “เหอเซียนเจิ้นเย่เจิ้นโม่ซื่อเจียผู่จู้ซื่อ”, อ้างแล้ว, หน้า 104-105.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 864.
13
พระองค์ได้ทรงส่งคณะทูตไปยังจีนเป็นครั้งที่สองในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2314
ด้วยพระราชประสงค์จะริเริม่ ฟืน้ ฟูความสัมพันธ์อนั แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน
ให้ ก ลั บ คื น ดั ง เดิ ม และอนุ ส นธิ จ ากหนั ง สื อ ที่ ไช่ ฮั่ น ส่ ง มากราบทู ล สมเด็ จ
พระเจ้าตากสินเมื่อสองปีก่อน สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้าฯ ให้น�าเชลย
ชายหญิงพม่าสิบสองคน ซึ่งรวมทั้งนายกองพม่าชื่อ เซี่ยโตวเยี่ยนต๋า (泻都
燕达) ไปพร้อมกับของก�านัลอื่นๆ ด้วย และทรงขออนุญาตรัฐบาลจีนให้สยาม
ส่งบรรณาการถวายราชส�านักได้20 เมื่อจักรพรรดิเฉียนหลงทรงทราบว่าคณะทูต
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินเดินทางมาถึงกวางโจว พระองค์กม็ รี บั สัง่ ถึงหลีซ่ อื่ เหยา
โดยพลันว่าจะให้รับรองคณะทูตของสมเด็จพระเจ้าตากสินอย่างไร จักรพรรดิดู
จะทรงปริวิตกว่าหลี่ซื่อเหยาจะไม่เข้าใจนโยบายใหม่ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสิน
อย่างถ่องแท้ ดังความว่า
บัดนีพ้ ระยาสินได้แสดงตนว่าเคารพเชือ่ ฟังรับสัง่
แลรูเ้ คารพย�าเกรงขุนนางผูใ้ หญ่ในราชส�านักต้าฉิง้ จึง
หาจ�าต้องนิ่งเฉยดูดายอยู่ไม่ ซึ่งจะตัดทางไมตรีนั้น
เห็นจะเป็นการเลยเถิดไป21
สองเดือนต่อมา หลังจากที่ราชส�านักชิงพิสูจน์แล้วว่า เชลยที่สมเด็จ
พระเจ้าตากสินทรงมอบตัวมานัน้ เป็นนายกองพม่าจริง จีนจึงแสดงมิตรไมตรีตอ่
สมเด็จพระเจ้าตากสิน และในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2314 จักรพรรดิ
เฉียนหลงก็รับสั่งอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อสมเด็จพระเจ้าตากสิน
ความว่า
อันมิลักขะชาวทะเลตรงปลายแผ่นดินเมืองเรา
นั้ น มิ ไ ด้ รู ้ จั ก ท� า นองคลองธรรม ตระกู ล ใหญ่ น ้ อ ย
จึ ง ชิ ง กั น เป็ น ใหญ่ มี เ นื อ งๆ มาอยู ่ ดั ง ในแผ่ น ดิ น
20
21
เฉียนหลงเฉาตงหัวลู่, ม้วน 74.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 891.
14
อันนัม เชื้อวงศ์เฉิน (陈 เจิ่น) วงศ์โม่ (莫 หมาก)
แลวงศ์หลี (黎 เล) เปลี่ยนกันปกครองบ้านเมือง แต่
ในสยามหาได้เป็นดังนั้นไม่ คราวเมื่อพวกโจรพม่ายก
ทัพไปตีสยามนั้น พระยาสินมีใจเจ็บแค้นกระท�าการ
ตามจ�าเป็นแก่เหตุ แต่มิได้ตั้งตัวเป็นการเอิกเกริก
ครั้นอยู่มารูว้ า่ ขุนนางผู้ใหญ่กรุงจีนมีหนังสือชี้แนะมา
ถึงตัวก็ย�าเกรงเชื่อฟัง แลให้คนคุมทหารไปตีชิงไหม
(青霾 เชียงใหม่) ได้ตัวเชลยอันมีแม่ทัพนายกองพวก
โจรพม่าอยู่ด้วย ซึ่งพระยาสินท�าเพื่อล้างแค้นพวก
พม่าป่าเถือ่ นนัน้ เห็นสิน้ สงสัย พระยาสินได้สง่ หนังสือ
มาขอพระราชทานตราตั้งแลอภัยโทษอยู่เนืองๆ แลรู้
เคารพพระราชส�านักต้าฉิง้ ซึง่ จะยึดเอาตามความเห็น
แต่กอ่ นนัน้ หาจ�าเป็นไม่ แลทีจ่ ะตัดคลองพระราชไมตรี
นั้นเห็นจะเป็นการเลยเถิดไป เมื่อพระยาสินขึ้นเป็น
พระเจ้าแผ่นดินแล้วดังนี้ ก็หาต้องยึดถือว่าพระยาสิน
จะมีพนื้ เพเป็นประการใด หรือพิเคราะห์สอบสวนการ
ทั้งปวงมากไปไม่ พระยาสินเพิ่งจะเริ่มปกครองบ้าน
เมือง มีอ�านาจเป็นประมาณ จึงหวังพึ่งผู้หนึ่งผู้ใด
มาตรว่าเราจะยังปฏิเสธ เกลือกพระยาสินมีความครัน่
คร้ามหันไปพึ่งพวกโจรพม่า ก็จะเป็นการไม่ชอบกล22
ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิเฉียนหลงจึงมีพระราชบัญชาถึงหลี่ซ่ือเหยาว่า
หากสมเด็จพระเจ้าตากสินส่งทูตมาขอตราตั้งหรือขอถวายบรรณาการก็ให้
หลี่ซื่อเหยาท�าหนังสือถึงปักกิ่ง แล้วราชส�านักชิงจะยินยอมพร้อมตามพระราชประสงค์ของพระองค์
สันนิษฐานได้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินพอพระทัยที่จีนตอบรับด้วยดี
ด้วยทรงด�าเนินวิเทโศบายที่เน้นความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้นนับแต่นั้น หลังจาก
22
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 895.
15
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงโจมตีหา่ เตียนจนได้รบั ชัยชนะเมือ่ พ.ศ. 2314 ในเดือน
กรกฎาคม พ.ศ. 2315 พระองค์ก็ได้ทรงจัดคณะทูตเพื่อส่งเฉินจวิ้นชิง (陈俊卿)
เหลียงซ่างเสวี่ยน (梁上选) กับชาวนาสามสิบสามคน บ้างพเนจรจากอ�าเภอ
ไห่เฟิง (海丰县) กวางตุ้ง บ้างก็ถูกทัพสยามจับเป็นเชลยให้กลับไปยังกวางโจว23
สามปีต่อมา ทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินได้เข้ายึดเมืองทวายและช่วยเหลือเชลย
ชาวจีนสิบเก้าคนซึ่งสังกัดกองทัพยูนนาน สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้าฯ
ให้เดินทางกลับไปยังกวางโจวกับเฉินว่านเซิ่ง (陈万胜) พ่อค้าชาวจีนในธนบุร24ี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2319 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงช่วยเหลือพ่อค้าชาวจีนสามคน
ทีถ่ กู จับในระหว่างบ้านเมืองเป็นจลาจลให้ได้กลับจีน25 ปีตอ่ มาก็ได้ทรงส่งตัวเชลย
พม่ า อี ก กลุ ่ ม หนึ่ ง จากธนบุ รี ไ ปยั ง จี น 26 เมื่ อ ราชส� า นั ก ชิ ง ทราบว่ า สมเด็ จ
พระเจ้าตากสินทรงเป็นใหญ่ในสยาม และทรงพระราชอุตสาหะสานสัมพันธ์
ทางการกับจีนด้วยความจริงใจ ราชส�านักชิงจึงได้ปรับความสัมพันธ์กับพระองค์
ให้ดยี งิ่ ขึน้ ด้วยเหตุดงั นี้ นับตัง้ แต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2315 พระนามของสมเด็จ
พระเจ้าตากสินในเอกสารจีนก็เปลี่ยนจากพีหย่าซิน (พระยาสิน) เป็นเจิ้งจ้าว
(郑诏) ซึ่งหมายถึงกษัตริย์ (诏) แซ่เจิ้ง (郑)27 การเปลี่ยนค�าเรียกพระนามใน
เอกสารจีนจาก “เซียนหลอกว๋ออีม๋ กู่ านเอินชือ่ ” (暹罗国夷目甘恩敕 กานเอินชือ่
หัวหน้าอนารยชนสยาม) เป็นพีหย่าซิน และจากพีหย่าซินเป็นเจิ้งจ้าวสะท้อนให้
เห็นชัดเจนว่า สถานะของสมเด็จพระเจ้าตากสินในสายตารัฐบาลจีนนั้นสูงขึ้น
เรือ่ ยๆ และการปรับปรุงความสัมพันธ์สยามกับจีนในยุคธนบุรนี นั้ ก็เป็นกระบวน
การที่ยาวนานและซับซ้อน
ราชส�านักชิงได้แสดงมิตรไมตรีต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินโดยอนุญาต
ให้คณะทูตของพระองค์ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในกวางตุ้งได้เป็นการเฉพาะ ในปี
พ.ศ. 2318 เฉินว่านเซิง่ พ่อค้าชาวจีนทีส่ มเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งไปยังกวางตุง้
23
24
25
26
27
หมิงชิงสื่อเลี่ยว: เกิงเปียน, เล่ม 6, หน้า 539.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 990.
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 1022.
“หนังสือของหลีซ่ อื่ เหยา”, ใน หวงชิงโจ้วอี้ (皇清奏议 หนังสือสมัยราชวงศ์ชงิ ), ไทเป, 1967,
ม้วน 62, หน้า 25-30.
เฉียนหลงเฉาตงหัวลู่, ม้วน 76.
16
ได้ซื้อดินประสิวห้าสิบหาบและกระทะเหล็กห้าร้อยใบกลับมาสยาม ทว่าตาม
ปรกติแล้ว กฎหมายของราชส�านักชิงจะห้ามไม่ให้คา้ ขายสินค้าเหล่านี้ ในปีถดั มา
โม่กว่างอี้ (莫广亿) พ่อค้าชาวจีนอีกผู้หนึ่งก็ได้ซื้อดินประสิวหนึ่งร้อยหาบตาม
พระราชบัญชาของสมเด็จพระเจ้าตากสิน28 ในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2320
จักรพรรดิเฉียนหลงมีพระราชกระแสถึงหยางจิ่งซู่ ( 杨景素) ข้าหลวงใหญ่
มณฑลกวางตุ้งและกวางสีคนใหม่29 ว่า หากรัฐบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินจะซื้อ
ดินประสิวหรือสินค้าจ�าเป็นอื่นๆ เพิ่มเติมก็ให้จัดหาตามพระราชประสงค์30
ในปี พ.ศ. 2318 ทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินล้อมทีม่ นั่ ฝ่ายพม่าทีเ่ ชียงใหม่
และเข้ายึดครองได้ส�าเร็จ พม่าถอยทัพจากสยามทั้งหมดในปีต่อมาหลังจากที่
ทราบข่าวว่ากษัตริย์พม่าสวรรคต หลังจากรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นแล้ว
สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ทรงมีเวลาปรับปรุงเศรษฐกิจภายในสยามและขยายการ
ติดต่อกับต่างประเทศ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2320 ทรงส่งทูตสามคนไปยังจีน
ในพระราชสาส์นถึงหยางจิ่งซู่ พระองค์มีพระบรมราชาธิบายว่า นับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแตก สยามก็ยังมิได้ถวายบรรณาการแด่จักรพรรดิจีนแต่ประการใด
พระองค์จงึ มีพระราชประสงค์จะถวายบรรณาการตามธรรมเนียมแต่เดิม เหตุฉะนี้
จึงทรงส่งทูตอัญเชิญพระราชสาส์นมายังจีน และหวังพระทัยว่าหยางจิ่งซู่จะ
กราบทูลพระราชประสงค์ให้จักรพรรดิทรงทราบ เมื่อจักรพรรดิเฉียนหลงได้รับ
หนังสือจากหยางจิ่งซู่ว่าด้วยเรื่องคณะทูตของสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระองค์
ก็มีพระราชบัญชาให้มหาอ�ามาตย์แห่งรัฐร่างหนังสือตอบในนามของหยางจิ่งซู่
หนังสือลงวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2320 ปรากฏความว่า
28
29
30
เฉียนหลงเฉาตงหัวลู่, ม้วน 84.
มีขอ้ ผิดพลาดบางประการในหนังสือ Tribute and Proit: Sino-Siamese Trade, 1652-1852
(1977) ของ ดร.สารสิน วีระผล ซึ่งอาจเป็นเพราะเข้าใจจดหมายเหตุชิงคลาดเคลื่อน
ตัวอย่างเช่นในหน้า 313 เชิงอรรถที่ 14 ดร.สารสินเข้าใจว่าเฉินจวิ้นชิงกับเหลียงซ่างเสวี่ยนเป็นหัวหน้าคณะทูตที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงส่งไปยังจีนในปี พ.ศ. 2315 หรือ
เข้าใจว่าหยางจิ่งซู่เป็นพ่อค้าชาวจีนที่น�าคณะทูตสยามไปยังจีนในปี พ.ศ. 2320 เป็นต้น
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 1036.
17
ฤดู ว สั น ต์ นี้ เ มื่ อ หลี่ ซื่ อ เหยาจะย้ า ยไปเป็ น
ข้าหลวงใหญ่ยนู นานแลกุย้ โจวก็ได้กล่าวแก่เราว่า ท่าน
ได้แก้แค้นพวกโจรที่ปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน
พระองค์ก่อน อาณาประชาราษฎรจึงยกท่านขึ้นเป็น
ใหญ่ แลด้วยเชื้อพระวงศ์หาพระองค์มิได้ ท่านจึงได้
ปกครองบ้านเมือง ท่านมีใจเลื่อมใสทางพระราชส�านักต้าฉิ้ง แลแสดงความจงรักภักดีอยู่เนืองๆ จึง
สมควรจะได้รับบ�าเหน็จเอื้อเฟื้อ มาตรว่าท่านมีธุระ
ประสงค์สิ่งใดต่อไปภายหน้า เราจะพิเคราะห์ดูตาม
สมควร ด้วยเราได้รับต�าแหน่งนี้ จึงตรวจตราราชการ
ทั้งปวงให้ต้องกันกับข้าหลวงคนก่อน ซึ่งท่านใคร่จะ
ถวายบรรณาการบัดนีก้ ช็ อบแล้ว เมือ่ สิง่ ของบรรณาการ
ของท่านมาถึงเมืองจีนเมือ่ ใด ก็จะส่งหนังสือของท่าน
บอกขึ้นไปกราบทูล อนึ่งซึ่งท่านกล่าวมาว่าใคร่ขอพึ่ง
พระบารมีตามที่ราษฎรได้มุ่งหวังไว้นั้น แจ้งว่าท่าน
ประสงค์จะขอพระราชทานตราตัง้ แต่มกิ ล้ากล่าวโดย
เปิ ด เผย เราเห็ น เป็ น ถ้ อ ยความเคลื อ บคลุ ม จะส่ ง
หนังสือขึ้นไปกราบทูลหาได้ไม่ หากท่านมีใจสุจริตจัด
สิ่งของบรรณาการ ส่งทูตมาค�านับแลถวาย แลมี
หนังสือแจ้งว่าราษฎรทั้งนั้นยกท่านขึ้นเป็นใหญ่ด้วย
เชือ้ พระวงศ์ดบั สูญ แล้วจึงขอพระราชทานตราตัง้ เรา
จะส่งหนังสือของท่านไปกราบทูลสมเด็จพระเจ้าหมืน่
ปี ต่อเมื่อท่านได้รับพระราชทานอภัยโทษเท่านั้น จึง
จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยชอบ31
มิพักจะต้องสงสัยเลยว่า หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบค�า
ตอบรับเชิงบวกเช่นนีไ้ ม่นานนัก พระองค์กท็ รงเริม่ ตระเตรียมคณะทูตชุดใหญ่ดว้ ย
31
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 1037.
18
พระราชประสงค์จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับจีน
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2324 คณะทูตสยามชุดใหญ่ประกอบด้วยเรือสิบเอ็ด
ล�าอันมีพระยาสุนทรอภัยเป็นผู้ควบคุมได้เดินทางไปยังจีน32 กองเรือซึ่งบรรทุก
งาช้าง ไม้ฝาง ไม้มะเกลือ กรักขี นอแรด รง ฯลฯ เทียบท่าที่กวางตุ้งในราวเดือน
มิถุนายนถึงกรกฎาคม ขณะเดียวกันนั้นเอง ปาเอี๋ยนซาน (巴延三) ได้เข้ารับ
ต�าแหน่งข้าหลวงใหญ่มณฑลกวางตุ้งและกวางสีแทนกุ้ยหลิน จากหนังสือของ
ปาเอี๋ยนซานและหลี่หู (李湖) เราทราบว่า ก่อนที่คณะทูตสยามจะมาถึงกวางตุ้ง
นัน้ เรือบรรณาการของสยามได้มาถึงอ�าเภอหนานไห่ (南海县) กวางตุง้ ในเดือน
มิถุนายน และอัญเชิญพระราชสาส์นสองฉบับจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมาถึง
ปาเอีย๋ นซาน ฉบับหนึง่ ทรงแจ้งปาเอีย๋ นซานว่าได้จดั ทูตมาถวายงาช้างและสิง่ ของ
พื้นเมืองอื่นๆ เป็นบรรณาการ และขอให้ขุนนางหัวเมืองกราบทูลจักรพรรดิ
เฉียนหลงให้ทรงทราบด้วย อย่างไรก็ดี ในท้ายพระราชสาส์นทรงขอให้ผปู้ กครอง
กวางตุ้งออกใบอนุญาตให้ส�าเภาสยามค้าขายกับเซี่ยเหมิน (厦门 เอ้หมึง) และ
หนิงปอ (宁波) ทัง้ ยังทรงขอให้ปาเอีย๋ นซานอนุเคราะห์คนน�าทางแก่พอ่ ค้าสยาม
ที่จะไปค้าส�าเภายังญี่ปุ่นด้วย อนึ่ง ยังทรงเสริมด้วยว่า เพราะเหตุที่สยามเพิ่งจะ
รวบรวมกันขึ้นเป็นปึกแผ่น ท้องพระคลังยังว่าง รัฐบาลสยามไม่มีเงินจะสร้าง
กรุงธนบุรี มีเพียงสินค้าพื้นเมืองมาค้าขายเท่านั้น จึงขอให้ส�าเภาสยามค้าขาย
กับพ่อค้าในฮกเกี้ยน เจ้อเจียง (浙江) และญี่ปุ่นได้ด้วย นอกเหนือจากพระราชประสงค์ข้างต้นนี้แล้ว ในพระราชสาส์นอีกฉบับหนึ่งยังขออนุญาตราชส�านักชิง
ถวาย “สิง่ ของนอกบรรณาการ” (贡外之贡 ก้งไว่จอื ก้ง) และขอซือ้ สินค้าทองแดง
อาทิ จานทองแดงและเตาทองแดงด้วย 33 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2325
คณะทูตสยามก็ไปถึงปักกิง่ โดยมีขนุ นางหัวเมืองติดตามคุม้ ครองไปด้วย อย่างไร
32
33
ไม่ปรากฏเหตุผลแน่ชัดว่าเพราะเหตุใด ดร.สารสิน วีระผล (หน้า 145-152) จึงเขียนว่าการ
ส่งคณะทูตชุดใหญ่ครั้งนี้และการถอดสมเด็จพระเจ้าตากสินได้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หนึ่งปี
“หนังสือของปาเอี๋ยนซานและหลี่หู วันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2324”, จวินจีชู่ลู่ฟู่โจ้วเจ๋อ,
ไว่เจียวเล่ย: ไท่กว๋อ (军机处录副奏折, 外交类: 泰国 ส�าเนาหนังสือสมัยราชวงศ์ชิง
ในสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน, เอกสารการทูต: ประเทศไทย. ยังไม่ได้ตีพิมพ์). ปักกิ่ง,
หอเอกสารประวัติศาสตร์แห่งชาติแห่งแรก.
19
ก็ดี พระยาสุนทรอภัยล้มป่วยถึงแก่อนิจกรรมระหว่างทาง รัฐบาลจีนจึงจัดพิธศี พ
ให้ตามธรรมเนียมราชส�านักชิง34 เมือ่ คณะทูตได้ถวายพระราชสาส์นแด่จกั รพรรดิ
เฉียนหลงแล้วก็ได้รบั การต้อนรับอย่างอบอุน่ มีงานเลีย้ งรืน่ เริงต่อเนือ่ งหลายวัน
ณ พระที่นั่งซานเกาสุ่ยฉาง (山高水长)35 ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2325
คณะทู ต สยามก็ ไ ด้ เ ดิ น ทางกลั บ พร้ อ มกั บ ของก� า นั ล จากจั ก รพรรดิ โ ดยมี
หลวงพิไชยเสน่หาอุปทูตเป็นผูค้ มุ อย่างไรก็ดี คณะทูตเดินทางมาถึงสยามช้าเกิน
การณ์ส�าหรับสมเด็จพระเจ้าตากสินจะได้ทรงประจักษ์ผลแห่งพระราชอุตสาหะ
กว่าสิบสี่ปีด้วยสายพระเนตรพระองค์เอง ต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2325 สมเด็จ
พระเจ้าตากสินทรงถูกถอดจากราชสมบัติและส�าเร็จโทษ เรื่องราวความสัมพันธ์
ระหว่างสยามกับจีนในรัชสมัยของพระองค์จึงเป็นอันสิ้นสุดลง
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับวิเทโศบายของสมเด็จพระเจ้าตากสิน
ที่เน้นความสัมพันธ์กับจีน
ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน พระองค์ทรงจัดคณะทูตไปยัง
จี น ถึ ง เจ็ ด ครั้ ง เพื่ อ ขอให้ ร าชส� า นั ก จี น รั บ รองพระองค์ เพราะเหตุ ใ ดสมเด็ จ
พระเจ้าตากสินจึงทรงวางแผนและด�าเนินวิเทโศบายที่เน้นความสัมพันธ์กับจีน
เช่นนี้ กล่าวได้หรือไม่ว่าสยามสมัยธนบุรีต้องการเป็นรัฐประเทศราชหนึ่งของ
ราชส�านักชิง ขณะนี้มีหลักฐานข้อมูลเพียงพอให้ระบุปัจจัยต่างๆ ที่น�าไปสู่
วิเทโศบายเช่นนี้แล้ว ตามความเห็นของผู้เขียน ปัจจัยที่ส�าคัญเป็นพิเศษมีทั้ง
พื้นเพครอบครัวของพระองค์และความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ในระหว่างที่เจริญ
พระชนม์และทรงกระท�าการต่างๆ เราทราบจากหลักฐานจีนว่า บรรพบุรุษของ
พระองค์อพยพจากผูเถียน (莆田) มณฑลฮกเกี้ยนมายังเฉาโจว (潮州 แต้จิ๋ว)
ในสมัยราชวงศ์ซ่ง พระราชบิดาเป็นชาวนายากไร้ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหัวฝู
(华葍村) อ�าเภอเฉิงไห่ (澄海县) ก่อนที่จะอพยพมายังกรุงศรีอยุธยากับเพื่อน
34
35
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 1152; กงจงตั้งเฉียนหลงเฉาโจ้วเจ๋อ, ม้วน 50, หน้า 283.
หมิงชิงสื่อเลี่ยว: เกิงเปียน, เล่ม 6, หน้า 540; ชิงเฉาเหวินเซี่ยนทงเข่า (清朝文献通考
สารานุกรมบันทึกประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ชิง), เซี่ยงไฮ้, 1936, ม้วน 297.
20
ร่วมภูมิล�าเนาซึ่งต่อมาได้ประกอบกิจการค้าข้าวระหว่างสยามกับจีนซึ่งก�าลัง
เติบโตในช่วงทศวรรษ 226036 จีนโพ้นทะเลที่อพยพมาตั้งรกรากในสยามส่วน
ใหญ่พูดภาษาแต้จิ๋วหรือฮกเกี้ยน ซึ่งต่างก็อยู่ในกลุ่มภาษาถิ่นฮกเกี้ยนตอนใต้
พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงอยู่ในกลุ่มนี้ และคนเหล่านี้เองที่
สนับสนุนสมเด็จพระเจ้าตากสินอย่างแข็งขันในระหว่างทีท่ รงกอบกูบ้ า้ นเมืองให้
เป็นปึกแผ่นมั่นคง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพทรง
พระนิพนธ์ไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงหนีออกจากอยุธยาพร้อมทหารกว่า
ห้าร้อยคนใน พ.ศ. 2310 ผู้ติดตามพระองค์ในครั้งนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
นอกจากนี้ เส้นทางที่ทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินบ่ายหน้าไปก็อาจเป็นผลจากภูมิ
หลังทางชาติพันธุ์ของพระองค์ ดังที่ บี. เจ. เตร์วิลได้เสนอไว้ 37 แทนที่จะมุ่งหน้า
ขึ้นเหนือหรือไปทางตะวันออก ทัพของพระองค์กลับยกไปทางตะวันออกเฉียง
ใต้สเู่ มืองจันทบุรซี งึ่ เป็นชุมทางส�าคัญด้วยชัยภูมทิ ตี่ งั้ เป็นยุทธศาสตร์ ไปมาค้าขาย
สะดวก และติดต่อกับจีนได้ ทั้งยังเป็นถิ่นฐานเดิมของชาวจีนที่มาตั้งรกรากใน
สยามด้ ว ย ลั ก ษณะเช่ น นี้ เ ป็ น ปั จ จั ย ส� า คั ญ ประการหนึ่ ง ที่ ท� า ให้ ส มเด็ จ
พระเจ้าตากสินทรงหนีมายังจันทบุรี ด้วยพระราชประสงค์จะพึ่งพาก�าลังทรัพย์
และก�าลังคนจากชาวจีน ณ ทีน่ นั้ อันทีจ่ ริงชาวจีนในอยุธยาและจันทบุรกี ไ็ ด้ชว่ ย
เหลือสมเด็จพระเจ้าตากสินทัง้ ทรัพย์สนิ สิง่ ของ เสบียงอาหาร กระทัง่ เรือส�าหรับ
ท� า สงครามซึ่ ง ท� า ให้ พ ระองค์ ยึ ด ครองสยามได้ ส� า เร็ จ ไม่ ต ้ อ งสงสั ย เลยว่ า
วิเทโศบายของสมเด็จพระเจ้าตากสินจะได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากขุนนางและ
พ่อค้าชาวจีนที่แวดล้อมพระองค์ ด้วยส่วนใหญ่มีสายสัมพันธ์กับจีนต่างๆ กัน
และมักจะขอความช่วยเหลือจากภูมิล�าเนาเดิมในจีนตอนใต้เมื่ออับจนหนทาง
36
37
ซื่อสือเอ้อเหมยจวีซื่อ: เจิ้งจ้าวจ้วน (四十二梅居士: 郑诏传 พระราชประวัติสมเด็จ
พระเจ้าตากสิน), ซานหูปา้ นเยว่คาน (珊瑚半月刊 ซานหูรายปักษ์) ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 สิงหาคม
1939; เจิ้งชางสือ: หานเจียงเจี้ยนเหวินลู่ (郑昌时: 韩江见闻录 บันทึกประสบการณ์เรื่อง
หานเจียง), 1824.
B. J. Terwiel, A History of Modern Thailand, 1767-1942, (Queensland, 1983),
pp. 38, 66.
21
วิเทโศบายทีเ่ น้นจีนของสมเด็จพระเจ้าตากสินกอปรกับความอุปถัมภ์ทที่ รงหยิบ
ยื่นให้ชาวจีนร่วมกลุ่มภาษาย่อมดึงดูดชาวจีนให้อพยพมาสู่สยามในกาลต่อมา
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ไม่พึงมองข้ามมีอยู่ว่า หลังจากที่ทรงสถาปนา
ระบอบใหม่ขึ้น ณ กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ทรงเผชิญกับพลังท้าทาย
จากผูป้ กครองชุมนุมท้องถิน่ ต่างๆ ทีถ่ อื ว่าพระองค์ขาดสิทธิธรรมในการขึน้ ครอง
ราชสมบัติ ด้วยความกริ่งพระทัยว่าจะสูญราชบัลลังก์และเพื่อให้สิทธิอ�านาจ
ของพระองค์และระบบราชการที่เพิ่งจะสถาปนาได้ลงหลักปักฐาน สมเด็จ
พระเจ้าตากสินจึงทรงปริวติ กยิง่ ทีจ่ ะให้จนี รับรองพระองค์ แม้การรับรองนัน้ แทบ
จะมิได้ส่งผลต่อการครองราชสมบัติก็ตามที
เรายังต้องพิจารณาสถานการณ์ทางการทหารและการเมืองในคาบสมุทร
อินโดจีนขณะนั้นด้วย พม่าในรัชสมัยพระเจ้าอลองพญาได้แผ่อา� นาจบารมีโดย
ขยายอาณาจักรไปกลืนกินดินแดนของสยามและลาว หรือแม้กระทั่งบริเวณ
ชายแดนระหว่างจีนกับพม่า สถานการณ์เช่นนีท้ า� ให้พม่าต้องเป็นศัตรูกบั ทัง้ สอง
ประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง พม่าท�าสงครามทางใต้กับสยามซ�้ายังมีความ
ขั ด แย้ ง ทางเหนื อ กั บ จี น ท้ า ยที่ สุ ด สยามกั บ จี น จึ ง ร่ ว มมื อ กั น ต้ า นทานพม่ า
จึงสันนิษฐานได้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงซึมทราบสถานการณ์ในคาบสมุทร
อย่างถ่องแท้ และค่อนข้างมั่นพระทัยว่าเพราะเหตุนี้ราชส�านักชิงจะยอมรับการ
ปกครองของพระองค์ไม่ช้าก็เร็ว เหตุฉะนี้ พระองค์จึงทรงส่งเชลยพม่าไปยัง
กวางโจวหลายต่อหลายครั้งเพื่อแสดงจุดยืนและขอความช่วยเหลือจากจีน
อย่างจริงจัง
อย่ า งไรก็ ดี ปั จ จั ย ที่ ส� า คั ญ กว่ า ได้ แ ก่ ป ั จ จั ย ทางเศรษฐกิ จ ด้ ว ย
พระราชปณิธานจะเอาชนะพม่าและกอบกูบ้ า้ นเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงมี
พระราชประสงค์จะค้าขายสินค้าพื้นเมืองในสยามและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แลกกับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผลิตในจีนซึ่งเป็นที่ต้องการเร่งด่วนในสยาม อาทิ
ดินประสิว เหล็ก และทองแดง กระนั้นก็ดี ในระบบบรรณาการของราชวงศ์ชิง
ประเทศใดที่ประสงค์จะค้าขายกับจีนต้องถวายบรรณาการผ่านการค้าแบบ
บรรณาการ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตระหนักข้อนี้ดี จึงทรงริเริ่มวิเทโศบายที่
เน้นความสัมพันธ์กับจีนและทรงส่งพ่อค้าและทูตไปยังกวางโจวครั้งแล้วครั้งเล่า
เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าแบบบรรณาการอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ความเชื่อ
22
ที่ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชประสงค์จะให้สยามเป็นรัฐประเทศราชของ
จักรวรรดิจีนคงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สิ่งที่ทรงพระราชประสงค์และสน
พระทัยโดยแท้จริง ได้แก่ รายได้เป็นกอบเป็นก�าจากการค้าแบบบรรณาการกับจีน
และโอกาสซื้อหาเครื่องก่อสร้างจ�านวนมากส�าหรับสร้างกรุงธนบุรี นอกจากนี้
สมเด็จพระเจ้าตากสินยังทรงพระราชด�าริว่า ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน
และเครือข่ายการค้าของพ่อค้าจีนในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ส�าเภา
สยามอาจค้าขายวายล่องไปถึงฮกเกีย้ นและเจ้อเจียงหรือญีป่ นุ่ ได้ ซึง่ จะช่วยขยาย
การค้าทางทะเลระยะไกลของสยามไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ จะเห็นได้
ชัดว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงคุน้ เคยพอควรกับความรูส้ กึ นึกคิดของรัฐบาลชิง
และจักรพรรดิเฉียนหลง พระราชปณิธานของพระองค์ในการเข้าเป็นส่วนหนึ่ง
ของระบบบรรณาการจีนก็เพื่อรักษาผลก�าไรอันจะช่วยสร้างความมั่นคงทางการ
คลัง ซึง่ จ�าเป็นส�าหรับความมัน่ คงทางการเมืองอีกต่อหนึง่ กล่าวได้วา่ การรับรอง
จากจีนนัน้ เป็นเพียงพิธรี ตี องทางการเมืองเพือ่ ยืนยันสถานะกษัตริยข์ องพระองค์
และเพื่อเป็นเงื่อนไขให้แก่สิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจของสยาม แท้จริงแล้ว สิ่งที่
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเน้นความส�าคัญในพระราชสาส์นช่วงหลังๆ นั้นหาใช่
การได้รบั พระราชทานอิสริยยศจากราชส�านักชิงไม่ แต่คอื การรับรองพระองค์และ
อนุญาตให้ค้าขายแบบบรรณาการได้ ข้อนี้อาจช่วยอธิบายได้ว่า เหตุที่พระองค์
ไม่ใส่พระทัยมากนักเมือ่ ราชส�านักชิงตัดสินใจมอบต�าแหน่ง “กษัตริย”์ ให้พระองค์
ในปี พ.ศ. 232038 เป็นเพราะทรงรักษาราชสมบัติได้มั่นคงแล้ว ไม่จ�าเป็นต้องพึ่ง
อ�านาจและอิทธิพลจีนเพื่อยืนยันพระราชสถานะอีกต่อไป
ประการสุดท้าย พึงตระหนักด้วยว่าความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์
ระหว่างสยามกับจีนด�าเนินมาอย่างใกล้ชดิ แน่นแฟ้นกระทัง่ พุทธศตวรรษที่ 23-24
ในยุคอยุธยา รัฐบาลสยามส่งคณะทูตไปจีนอยู่เนืองๆ และเป็นหนึ่งในมิตร
ประเทศของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยรากฐานความสัมพันธ์อันมั่นคง
เช่นนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินซึ่งทรงคุ้นเคยกับประโยชน์ของการค้าแบบ
บรรณาการพอควรจึงมีพระราชประสงค์จะด�าเนินความสัมพันธ์เช่นนั้นกับจีน
ต่อไป
38
ต้าชิงเกาจงฉุนหวงตี้สือลู่, ม้วน 1065.
23
บทสรุป
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพระราชอุตสาหะกว่าสิบสีป่ เี พือ่ ให้ราชส�านัก
ชิงรับรองพระองค์และอนุญาตให้สยามด�าเนินการค้าแบบบรรณาการกับจีนได้
พระองค์ยงั ทรงถือขันติธรรมต่อการดูหมิน่ ถิน่ แคลนอย่างยิง่ ด้วยพระราชประสงค์
จะสร้างระบอบใหม่ให้เป็นปึกแผ่น ณ กรุงธนบุรีและฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของ
สยาม อย่างไรก็ดี พัฒนาการของความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับจีนในช่วงนี้
ได้รับอิทธิพลจากการต่อสู้ขับเคี่ยวกันในคาบสมุทรอินโดจีนสองกรณีด้วยกัน
กรณี แรกซึ่ ง เชื่ อ มโยงสยามกั บ จี น เข้ า ด้ ว ยกั น ผ่ า นผลประโยชน์ ร ่ ว ม ได้ แ ก่
ศึกสงครามระหว่างสยามกับพม่าและระหว่างจีนกับพม่า มิพักจะต้องสงสัยเลย
ว่าการศึกดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักที่ก�าหนดลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสยาม
กั บ จี น ในยุ ค ธนบุ รี อี ก ประการหนึ่ ง ได้ แ ก่ ความขั ด แย้ ง ระหว่ า งสมเด็ จ
พระเจ้าตากสินกับโม่ซื่อหลินซึ่งช่วงชิงกันเป็นใหญ่ในสยาม กระนั้นก็ดี เมื่อจีน
เข้ า ใจสมเด็ จ พระเจ้ า ตากสิ น กั บ โม่ ซื่ อ หลิ น แจ่ ม แจ้ ง ขึ้ น และทราบว่ า สมเด็ จ
พระเจ้าตากสินเอาชนะโม่ซอื่ หลินได้ทหี่ า่ เตียน ปัจจัยข้อนีจ้ งึ เป็นอันเสือ่ มอิทธิพล
ต่อความสัมพันธ์สยามกับจีน ข้อส�าคัญเป็นพิเศษมีอยู่ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน
ทรงปราบพม่าและสถาปนาพระราชอาณาจักรในสยามได้โดยไม่ตอ้ งพึง่ ราชส�านัก
จีน รัฐบาลจีนเพิง่ จะเปลีย่ นนโยบายการทูตกับราชส�านักธนบุรภี ายหลังจากทีไ่ ด้
ประจักษ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสยามเท่านั้น กล่าวโดยสังเขปได้ว่า สมเด็จ
พระเจ้าตากสินทรงพระราชอุตสาหะแรงกล้าเพือ่ สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็น
ทางการกับราชส�านักชิง แม้จีนจะมิได้รับรองพระองค์อย่างเป็นทางการกระทั่ง
เสด็จสวรรคต กระนั้นพระองค์ก็ทรงก่อร่างสร้างฐานให้แก่ความสัมพันธ์ฉันมิตร
กับจีนซึ่งจะเจริญต่อมาในยุครัตนโกสินทร์